ข่าวสาร / อัพเดท! ตัวเลขจดทะเบียน รถหัวลาก รถพ่วง และรถกึ่งพ่วงช่วงครึ่งปีแรก 2018

อัพเดท! ตัวเลขจดทะเบียน รถหัวลาก รถพ่วง และรถกึ่งพ่วงช่วงครึ่งปีแรก 2018

เมื่อปลายปี 2017 จำนวนรถพ่วง-รถกึ่งพ่วงที่จดทะเบียนใหม่ทั้งปีนั้นมีสูงถึง 15,934 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 10.2% เมื่อเทียบกับตัวเลขปี 2016 การเติบโตนี้มาจากจำนวนรถพ่วงเป็นหลักที่โตขึ้น 12.6% เทียบกับรถกึ่งพ่วงที่ 8.5% อัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงนี้ พร้อมกับข้อมูลการเติบโตของ GDP ของประเทศไทยที่ 3.9% (ตามสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย ปี 2017)  โครงการการก่อสร้างต่างๆที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วประเทศ และการขนส่งที่แพร่หลายมากขึ้นเนื่องมาจากพฤติกรรมการซื้อของ online ของผู้บริโภคในประเทศ ส่งผลให้ตัวเลขการจดทะเบียนครึ่งแรกของปี 2018 นี้เป็นไปในทิศทางบวก

ในครึ่งปีแรกนี้จำนวนรถพ่วง-รถกึ่งพ่วงที่จดทะเบียนใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 1,149 คัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือ 14.9% อยู่ที่ทั้งหมด 8,866 คัน โดยรถพ่วงมีการเติบโตเพิ่ม 534 คัน คิดเป็น 16.9% และรถกึ่งพ่วงมีการเติบโตเพิ่ม 615 คัน คิดเป็น 13.5% จำนวนการเติบโตนี้มีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงเดือนมกราคม และเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

สำหรับรถหัวลากนั้นมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นมากที่ 32.2% หรือเพิ่มสูงขึ้นจำนวน 1,182 คัน ทำให้ตัวเลขรวมครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,851 คัน เทียบกับปีที่แล้วที่ 3,669 คัน

Figure 1.0 จำนวนรถพ่วง-รถกึ่งพ่วงจดทะเบียนใหม่ ปี 2016-2018 (ครึ่งปีแรก)

 ในทางเดียวกันกับรถพ่วงใหญ่ รถพ่วงเล็กที่สมรรถนะตั้งแต่ 750กก ขึ้นไป ที่จดทะเบียนภายใต้พรบ.รถยนต์ รย.16 ก็มีอัตราการเติบโตที่สูงมากในครึ่งปีแรกนี้เทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ 276 คัน เติบโต 42% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ 194 คัน ถึงแม้รถพ่วงประเภทนี้อาจจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยมากเท่าไหร่ แต่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากทุกๆปี เพราะเมื่อก่อนผู้ใช้รถบรรทุกขนาดเล็กและรถกระบะอาจจะไม่ได้เคร่งเรื่องน้ำหนักบรรทุก  แต่ด้วยกฏหมายที่เคร่งครัดเรื่องน้ำหนักบรรทุกมากขึ้น ทำให้มีบริษัทขนส่งทั้งรายใหญ่ และรายย่อยจำนวนหนึ่งหันมาพึ่งรถพ่วงเล็กเป็นตัวช่วยในการบรรทุก พ่วงรถพ่วงไปกับรถกระบะเพื่อประหยัดน้ำมันในการขนส่ง เป็นการเพิ่มพื้นที่และน้ำหนักบรรทุกในแต่ละรอบของการขนส่ง

Figure 2.0 จำนวนพ่วงเล็ก ร.ย. 16 จดทะเบียนใหม่ปี 2016-2018 (ครึ่งปี)

อัพเดทข้อมูลล่าสุด : มิถุนายน 2561

ที่มาของข้อมูล : กรมการขนส่งทางบก

 

error: